ชื่อภาษาอังกฤษว่า The Foundation เขียนโดยไอแซค อสิมอฟ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่เริ่มพิมออกมาตั้งแต่ปี 2494 และมีภาคต่อมาอีก2 ภาคคือFoundation and Empire ในปี 2495และ Second Foundation ในปี2496 หลังจากนั้นไอแซค อสิมอฟได้หยุดเขียนไปเกือย30ปีจึงได้มีภาค4 ภาค5 ออกมาและมีการเขียนอีก2 ภาคซึ่งเป็นเรื่องราวก่อน The Foundation
ก่อนที่จะได้อ่านเรื่องนี้ ใจมีอคติว่าเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่เขียนตั้งแต่ก่อนผมเกิด ดังนั้นเนื้อเรื่องจึงควรเป็นอะไรที่ไม่ทันสมัยจึงไม่คิดจะอ่าน จนมีคนเอามาให้ลองอ่าน(ถึงขนาดยกมาให้ถึงที่) เลยลองเอามาอ่านดู จึงพบว่าเรื่องราวสนุกมากจนวางไม่ลง อ่านจบได้อย่างรวดเร็วและยืมเล่ม 2 กับ3 มาอ่านต่อทีเดียว แน่นอนว่าส่วนของเทคโนโลยีย่อมมีบางส่วนที่ดูล้าสมัย ถ้าจะพูดให้ถูกน่าจะเรียกว่าเทคโนโลยีหลายอย่างค่อนข้างร่วมสมัยแต่ไม่ได้ล้ำหน้า แต่ก็มีจินตนาการหลายอย่างที่ล้ำหน้ากว่ายุคของเรา จุดสำคัญคือเนื้อหาหลักๆไม่ได้ล้าสมัยเลยและผมเชื่อว่าแม้จะผ่านไปอีกนานแค่ไหนก็ยังไม่เก่าเพราะเหตุการณ์ที่อสิมอฟมองนั้นล้ำหน้าไปถึงยุคมนุษย์อยู่ไปทั่วกาแล็คซี่!
เหตุการณ์ในสถาบันสถาปนากล่าวถึงยุคอนาคตที่มนุษย์อยู่กันทั่วกาแล็คซี่ มีดาวทรานทอเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโดยมีจักรวรรดิดูแล และแล้วก็มีนักคณิตศาสตร์ผู้หนึ่งนามว่าฮาริ เซลดอน ซึ่งคิดค้นวิชาอนาคตประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่สามารถทำนายอนาคตได้หากมีกลุ่มประชากรตัวอย่างมากพอภายใต้ข้อสันนิษฐานว่าพฤติกรรมของคนหมู่มากสามารถพยากรณ์ได้ ยิ่งมีประชากรมากเท่าไรยิ่งเที่ยงตรงเท่านั้น เมื่อใช้ประชากรทั้งกาแล็คซี่มาคำนวณจึงได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและผลนั้นคือจักรวรรดิจะล่มสลายในอีกไม่นาย หลังจากนั้นจะมียุคมืดซึ่งมนุษย์ไร้อารยธรรมถึง3หมื่นปี การพยากรณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับจักรวรรดิมากจนมีการจับกุมตัวฮาริ เซลดอนขึ้น อย่างไรก็ดีฮาริ เซลดอนก็ได้เสนอแผนซึ่งจะช่วยลดยุคมืดลงเหลือเพียงหนึ่งพันปีได้โดยการสร้างสถาบันสถาปนาซึ่งจะจัดทำเอ็นไซโคลปีเดียรวบรวมความรู้ทั้งหมดไว้ไม่ให้สาบสูญไป จะเชื่อหรือไม่ก็ดีจักรวรรดิก็ยังกังวลต่อคำทำนายจึงได้มีการเนรเทศให้ฮาริ เซลดอนและคนของเขาไปทำเอ็นไซโคลปีเดียที่สุดขอบกาแล็คซี่ แต่นี่เป็นไปตามที่ฮาริ เซลดอนได้คาดการณ์ไว้และแผนของเขาที่จะทำให้ยุคมืดจบลงในพันปีจึงได้เริ่มขึ้น
นิยายนี้จัดอยู่ในหมวดหมู่วิทยาศาสตร์ก็จริงแต่ด้วยความเฉียบแหลมในการเขียนเรื่องราวและการเดินเรื่องอย่างรวดเร็วจนไม่รู้สึกเบื่อจึงคิดว่าแม้จะนำไปวางไว้ในหมวดหมู่พวกผจญภัยก็ไม่ผิดอะไร หรือจะนำไปไว้ในกลุ่มสืบสวนก็ยังได้ เล่ม1 เป็นเล่มที่ขอแนะนำว่าพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เล่ม2 เรื่องแรกยังสนุก ส่วนเรื่อง2 ผมว่าอืดไปหน่อย เล่ม3 ยังคงอืดอยู่แต่ช่วงท้ายมีการชิงไหว ชิงพริบ กันทำให้โดยรวมยังสนุกกว่าเล่ม2